Highlight: การพัฒนาชุมชนและสังคมอย่างมีส่วนร่วม

การขับเคลื่อนธุรกิจ

          สังคมและชุมชนเป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญสำหรับ OR และ OR ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสังคมและชุมชนอย่างมีส่วนร่วม โดยสะท้อนในวิสัยทัศน์ขององค์กร ในการเติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วม และเป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญในกลยุทธ์ SDG ของ OR ภายใต้กลยุทธ์ ‘S – Small’ คือการสร้างโอกาสเพื่อคนตัวเล็ก ผ่านการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชน

          เพื่อเป็นการผลักดันให้เกิดการดำเนินการด้านการพัฒนาสังคมและชุมชนอย่างมีส่วนร่วมเป็นรูปธรรมและโดยมีประสิทธิภาพ OR ได้กำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานขององค์กร (Corporate KPI) ที่วัดผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาสังคมและชุมชนอย่างมีส่วนร่วม ซึ่งผนวกอยู่ในตัวชี้วัดของผลการดำเนินงานผู้บริหาร (Executive KPI) โดยมีรายละเอียดตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง ได้แก่:

  • ยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างชุมชนน่าอยู่ (4%)
  • การสร้างการเติบโตและกระจายความมั่งคั่งสู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (4%)

อ่านกลยุทธ์พัฒนาสังคมและชุมชนเพิ่มเติมในบท “การพัฒนาชุมชนและสังคมอย่างมีส่วนร่วม

โอกาสและความท้าทาย

          หาก OR ไม่สามารถรักษาการยอมรับจากสังคม (social license to operate) อาจพบความท้าทายในการดำเนินกิจกรรมธุรกิจ เช่น การประท้วงจากชุมชนรอบพื้นที่ดำเนินการที่นำไปสู่การชะงักทางธุรกิจ ความท้าทายในการดึงดูดพนักงาน ลูกค้า และนักลงทุน เป็นต้น

กลยุทธ์การดำเนินงาน

          OR ขับเคลื่อนการดำเนินโครงการเพื่อสังคม จากแนวทางแบบ CSR สู่แนวทาง CSV โดยบูรณาการประเด็นด้านการพัฒนาสังคมและชุมชนเข้าสู่วิสัยทัศน์และกลยุทธ์องค์กร เพื่อสร้างสรรค์โครงการที่ส่งผลกระทบทางบวกแก่สังคมและธุรกิจพร้อม ๆ กัน เช่น โครงการ Café Amazon for Chance โครงการการจัดหาเมล็ดกาแฟจากชุมชน และโครงการไทยเด็ด โดยมุ่งเน้นบรรลุเป้าหมายตาม OR SDG ทั้งนี้ OR วางระบบในการสำรวจความคิดเห็นและความคาดหวังของชุมชนและสังคม ออกแบบโครงการโดยเน้นความร่วมมือระหว่างบริษัทฯ และชุมชน และใช้ทรัพยากรของบริษัทฯ เช่น ทรัพยากรทางการเงิน หรือความเชี่ยวชาญของพนักงาน อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางสังคมที่สูงที่สุด นอกจากนี้ ดำเนินการวัดผลเป็นรูปธรรมเพื่อประเมินแนวทางการดำเนินงานที่ดีและควรขยายต่อ รวมถึงข้อปรับปรุงที่ควรนำไปพัฒนาต่อไป

อ่านเพิ่มเติมในบท “การพัฒนาชุมชนและสังคมอย่างมีส่วนร่วม

เป้าหมายระยะยาว

โครงการและผลการดำเนินงานที่โดดเด่น

          OR มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนโครงการเพื่อสังคมที่ตรงต่อปัญหาและความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียในสังคม โดยดำเนินโครงการที่เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียได้มีส่วนร่วมในทุกกิจกรรม ซึ่งโครงการเพื่อสังคมที่มีความโดดเด่นที่ดำเนินการโดย OR ที่ถูกนำมาเป็นกรณีศึกษาในปี 2566 คือ โครงการจัดหาเมล็ดกาแฟจากชุมชน (Community Coffee Sourcing: CCS) และโครงการไทยเด็ด โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และกลุ่มเกษตรกรที่มีผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ โดย OR มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความเข้มแข็งให้แก่วิสาหกิจชุมชนในหลายมิติ เช่น การเพิ่มมูลค่าสินค้า การทำการตลาด การยกระดับมาตรฐานสินค้า และการดำเนินธุรกิจที่คำนึงต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น โดยทั้ง 2 โครงการได้เริ่มดำเนินการเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี ดังนั้น เพื่อเป็นการชี้ให้เห็นถึงผลลัพธ์และผลกระทบจากการดำเนินโครงการเพื่อสังคมโดย OR การประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (Social Return on Investment: SROI) จึงมีความจำเป็นในการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในรูปของตัวเงิน ซึ่งการประเมินนี้ได้รับการประเมินจากคณะที่ปรึกษาจากสถาบันศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  โดยผลการประเมินของโครงการกรณีศึกษาทั้ง 2 โครงการ เป็นดังนี้


โครงการจัดหาเมล็ดกาแฟจากชุมชน (Community Coffee Sourcing: CCS)

เกี่ยวกับโครงการ:

          โครงการจัดหาเมล็ดกาแฟจากชุมชน เริ่มดำเนินโครงการเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 โดยมีกิจกรรมการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การซื้อขายเมล็ดกาแฟกะลา ภายใต้กระบวนการปลูกและการผลิตกาแฟระบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติระหว่าง บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด กับกลุ่มเกษตรกร เพื่อรับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกร ไปใช้ในการผลิตกาแฟในร้านค้า คาเฟ่ อเมซอน ของ OR ทั้งนี้ สำหรับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการจ่ายส่วนบวกเพิ่ม (Advantage) และการจัดอบรมหลักสูตรต่าง ๆ โดยเป็นหลักสูตรอบรมที่ตรงตามความต้องการกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ เพื่อสร้างองค์ความรู้ตั้งแต่กระบวนการปลูก การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยวผลผลิต และการแปรรูปกาแฟ นอกจากการเสริมสร้างศักยภาพในการปลูกและขายกาแฟให้แก่เกษตรกรท้องถิ่นแล้ว โครงการ CCS ยังมีส่วนสำคัญในการเพิ่มทางเลือกจัดหาวัตถุดิบเมล็ดกาแฟในการประกอบธุรกิจ คาเฟ่ อเมซอน ของ OR อีกด้วย ซึ่งปัจจุบัน เมล็ดกาแฟของโครงการ CCS มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 10-15 ของตลาดเมล็ดกาแฟของ คาเฟ่ อเมซอน ทั้งหมด

 

          ในปัจจุบัน โครงการ CCS มีกลุ่มเกษตรกรเข้าร่วมโครงการจำนวน 19 กลุ่ม 330 คน ประมาณการพื้นที่ปลูกกาแฟ 1,114 ไร่ ประมาณการส่งกาแฟจำหน่ายให้กับบริษัท 400 ตัน โดยผลกระทบและผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนของโครงการ CCS พบว่า โครงการได้สร้างผลกระทบแก่สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ 60 ล้านบาท โดยมีดัชนี SROI เท่ากับ 1.48 หากพิจารณาเชิงธุรกิจด้านเดียว พบว่า จากการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวได้สร้างผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) หรือมูลค่าผลประโยชน์สุทธิ จำนวน 26 ล้านบาท โดยมีดัชนี ROI เท่ากับ 1.21 จากผลการประเมินแสดงให้เห็นว่า การที่บริษัท OR สนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการ CCS ได้ก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่สังคม และสิ่งแวดล้อมแล้วในปัจจุบัน


ผลผลิต (Outputs): 

  • กลุ่มเกษตรกร 19 กลุ่ม มีรายได้จากการจำหน่ายกาแฟให้กับบริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด
  • กลุ่มเกษตรกรจำนวน 896 คน ได้รับองค์ความรู้จากการอบรม ได้แก่ องค์ความรู้การปลูก การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว และการแปรรูปเมล็ดกาแฟ

ผลลัพธ์ (Outcomes: กรณีธุรกิจ ESG SROI = 1.48 (ข้อมูลโครงการปี 2560 – 2566)

  • เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟมีตลาดรับซื้อที่แน่นอน เนื่องจากทำ MOU การซื้อขายเมล็ดกาแฟกะลา ภายใต้กระบวนการปลูกและการผลิตกาแฟระบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติระหว่าง บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด กับกลุ่มเกษตรกร ทำให้กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟมีตลาดรับซื้อที่แน่นอน และมีความมั่นคงทางรายได้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมากลุ่มเกษตรกรได้มีรายได้จากโครงการฯ มูลค่า 163 ล้านบาท
  • สร้างอำนาจการต่อรองตลาด โดยวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตกาแฟบ้านสามสูงมีอำนาจต่อรองตลาดภายนอกร้อยละ 30 โดยสามารถจำหน่ายกาแฟให้กับพ่อค้าคนกลางในราคาที่สูงกว่า จำหน่ายให้ บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด จำนวน 15 บาท/กิโลกรัม
  • ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เนื่องจากการปลูกกาแฟร่วมกับป่าไม้ ไม้ผล ทำให้เกษตรกรสามารถลดค่าใช้จ่ายในการซื้อผัก ผลไม้มาบริโภคในครัวเรือน
  • แรงงานกลับคืนสู่ชุมชน จากการที่กลุ่มเกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดี ส่งผลให้แรงงานที่ทำงานในเมือง หรือทำงานภายนอกชุมชนได้กลับมาใช้ชีวิต ประกอบอาชีพในชุมชนของตน ส่งผลให้ลดปัญหาทางสังคมที่เกิดจากครอบครัว
  • พฤติกรรมการเผาพื้นที่เพื่อใช้ทำการเกษตรลดลง จากการส่งเสริมการปลูกกาแฟในพื้นที่บ้านผาลั้งส่งผลให้เกษตรกรบ้านผาลั้งได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการปลูกพืชจากการปลูกข้าวโพด (ที่มีการเผา) ไปเป็นการปลูกกาแฟ (ประมาณร้อยละ 30 ของพื้นที่ทั้งหมด) ซึ่งเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่
  • เกิดความตระหนักในการอนุรักษ์ป่าไม้ เนื่องจากในกระบวนการรับซื้อกาแฟ บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด มีการจ่ายส่วนบวกเพิ่ม (Advantage) ให้กับเกษตรกรที่ปลูกกาแฟแบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดยพิจารณาจากเกณฑ์การให้ราคาส่วนต่างเพิ่มที่ระบุไว้ใน MOU
  • การคงอยู่ของระบบนิเวศป่าต้นน้ำ การที่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟมีพฤติกรรมการปลูกกาแฟที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ระบบนิเวศพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และการบริการของระบบนิเวศ (Ecosystem Services) ในพื้นที่ป่าต้นน้ำ ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์
  • ลดการใช้สารเคมีในการปลูกกาแฟ กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟบ้านผาลั้งมีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกกาแฟ โดยลดการใช้สารเคมีในการปลูกกาแฟ ทำให้ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ดีขึ้น

ผลประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้เสีย: 

  • กลุ่มเกษตรกรมีความมั่นคงทางรายได้
  • เกิดความมั่นคงทางอาหารในชุมชน
  • ชุมชนเกิดการรวมกลุ่ม สร้างความเข้มแข็งในชุมชน
  • แรงงานกลับคืนสู่ชุมชน ลดปัญหาทางสังคมที่เกิดจากครอบครัว เกิดความสงบสุขในชุมชน
  • ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน ส่งผลให้ชุมชนมีความยั่งยืน
  • เกษตรกรในชุมชนมีศักยภาพในการทำเกษตรกรแบบยั่งยืน
  • ปกป้องการเกิดไฟป่า หมอกควันจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5
  • ระบบนิเวศป่าต้นน้ำ ความหลากหลายทางชีวภาพ และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ยั่งยืน

ประโยชน์ต่อบริษัท: 

  • บริษัทสร้างผลประโยชน์เชิงธุรกิจเกื้อกูลสังคม สามารถสร้างรายได้จากการขายเมล็ดกาแฟตลอดโครงการ รวมประมาณ 27 ล้านบาท (มูลค่าผลประโยชน์สุทธิ ณ ปีฐาน 2560)

โครงการไทยเด็ด

เกี่ยวกับโครงการ:

          โครงการไทยเด็ด เริ่มดำเนินโครงการในปี พ.ศ. 2561 เกิดจากการรวมตัวของพันธมิตรหน่วยงานภาครัฐ ที่มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการสนับสนุนและผลักดันเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน  ผ่านการเสริมสร้างศักยภาพทางธุรกิจของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน/ผู้ประกอบการ SMEs ทั้งในด้านการผลิต การตลาด และการค้าขาย OR มีบทบาทสำคัญในการให้พื้นที่ในสถานีบริการพีทีที สเตชั่น และ คาเฟ่ อเมซอน ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ มาเป็นช่องทางการจำหน่ายให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชน ทำให้ผู้ประกอบการชุมชนในพื้นที่ทั่วประเทศมีโอกาสได้เข้าถึงตลาดและผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกัน การดำเนินโครงการนี้ยังสนับสนุนเป้าหมายในเชิงธุรกิจของ OR ในการเสริมสร้างแบรนด์สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และ คาเฟ่ อเมซอน และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า จึงเป็นโครงการที่ตอบโจทย์เป้าหมายเชิงธุรกิจของสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และ คาเฟ่ อเมซอน พร้อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น

 

          ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการดำเนินโครงการ ณ ปี พ.ศ. 2566 พบว่า ยังไม่เกิดผลกระทบอย่างคุ้มค่า เนื่องจากการขับเคลื่อนของโครงการนี้ มีการลงทุนในการประชาสัมพันธ์ในสินค้าสูงถึง 40 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2566 ซึ่งผลลัพธ์จากการโฆษณาจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างความรับรู้ให้แก่ผู้บริโภคอย่างน้อย 3 ปี ดังนั้น เมื่อพิจารณาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 3 ปีข้างหน้า หลังจากที่มีการประชาสัมพันธ์สินค้าของโครงการแล้วจึงจะเกิดความคุ้มค่าในการลงทุน

 

          จากการศึกษาครั้งนี้ นำมาสู่ข้อเสนอแนะต่อการขับเคลื่อนโครงการแก่ OR คือ มุ่งเน้นการสร้างโอกาสให้แก่วิสาหกิจชุมชนและ SMEs ที่ยังไม่เข้มแข็งในด้านการตลาด ควรสร้างความร่วมมือและเครือข่ายผู้ประกอบการ ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้ความสำคัญในการยกระดับมาตรฐานสินค้า และต้องดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ


ผลผลิต (Outputs): 

  • วิสาหกิจชุมชน/ผู้ประกอบการ (SMEs) ที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 338 ราย ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ประเภทอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ และของใช้

ผลลัพธ์ (Outcomes):

  • วิสาหกิจชุมชน/ผู้ประกอบการ (SMEs) มีช่องทางการตลาดในการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้จำหน่ายสินค้าได้เพิ่มขึ้น โดยมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าผ่านโครงการไทยเด็ด มูลค่า 29.8 บาท
  • รายได้จากการจำหน่ายสินค้าผ่านร้านไทยเด็ด/กิจกรรมของ OR จำนวน 15.1 ล้านบาท
  • รายได้จากการจำหน่ายสินค้าผ่านร้าน Café Amazon จำนวน 14.7 ล้านบาท
  • ยกระดับสินค้าเพื่อเข้าสู่ระบบการผลิตที่มีมาตรฐาน เพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบในท้องถิ่นให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง
  • ขยายกำลังการผลิตสินค้า ส่งผลให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น เช่น แรงงานคนในชุมชน แรงงานผู้สูงอายุ เป็นต้น
  • เกิดการรับซื้อวัตถุดิบของคนในชุมชนมากขึ้น
  • ขยายเครือข่ายกลุ่มการผลิตสินค้าไปยังชุมชนอื่น ๆ หรือพื้นที่ใกล้เคียง
  • ผู้บริโภคเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่นได้ง่าย และผลิตภัณฑ์ที่ให้เลือกซื้อมีความหลากหลาย

ประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้เสีย: 

  • วิสาหกิจชุมชน/ผู้ประกอบการ (SMEs) มีรายได้เพิ่มขึ้น เกิดความมั่นคงทางรายได้
  • ยกระดับผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
  • สร้างโอกาสต่อยอดให้กับผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่น
  • เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน/สังคม
  • เกิดการรวมกลุ่ม สร้างความเข้มแข็งในชุมชน
  • ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ส่งผลให้ชุมชนมีความยั่งยืน

โออาร์ สานเส้นใย (พลาสติก) ห่มภัยหนาว

เกี่ยวกับโครงการ:

          โครงการ โออาร์ สานเส้นใย (พลาสติก) ห่มภัยหนาว เกิดขึ้นจากการเล็งเห็นโอกาสในการนำจุดแข็งและ Asset ทางธุรกิจของ OR และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (GC) คือความเชี่ยวชาญและทรัพยากรในการแปลงพลาสติกมาใช้ใหม่ เพื่อต่อยอดเป็นผลประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยโครงการฯ นี้เริ่มจากการรณรงค์ให้พนักงานบริษัทในกลุ่ม ปตท. และสาธารณชนบริจาคขวดพลาสติกใช้แล้วตามจุดรับบริจาคที่ตั้งตามสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น 20 แห่ง รวมถึงจุดรับบริจาคที่สำนักงาน ปตท. และโรงเรียนในโครงการ แยก แลก ยิ้ม School Camp รวมเป็น 26 แห่ง เมื่อได้รับขวดพลาสติกใช้แล้ว OR ได้ร่วมมือกับ GC ในการแปลงขวดพลาสติกใช้แล้วให้เป็นสานใย ก่อนที่จะนำสานใยดังกล่าวให้แก่วิสาหกิจชุมชนเพื่อใช้ในการทอผ้าห่ม ท้ายสุด OR ได้ดำเนินการบริจาคผ้าห่มให้แก่ผู้ประสบภัยหนาวในภาคเหนือและภาคอีสาน นับว่าเป็นโครงการที่สร้างผลประโยชน์ตลอดทุกขั้นตอนของการดำเนินการ ตั้งแต่การปลูกฝังพฤติกรรมแยกขยะในผู้บริจาค การสร้างรายได้ให้แก่วิสาหกิจชุมชนที่ทำการทอผ้า การส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ประสบภัยหนาวที่ได้รับผ้าห่มบริจาค ตลอดจนการลดขยะพลาสติก


ผลลัพธ์และประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้เสีย:

  • ปลูกฝังพฤติกรรมการแขกขยะและนำขวดพลาสติกไปรีไซเคิล โดยได้รับขวดพลาสติกทั้งหมด 357,026 ขวดจากผู้บริจาค 
  • สร้างรายได้ให้แก่วิสาหกิจชุมชน มูลค่า 3.26 ล้านบาท ซึ่งวิสาหกิจชุมชนนี้มีสมาชิก 63 คน
  • ส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ประสบภัยหนาว โดยบริจาคผ้าห่ม 16,000 ผืน ให้แก่ผู้ประสบภัยหนาว 
  • ลดขยะพลาสติก คิดเป็นการหลีกเลี่ยงก๊าซเรือนกระจก  7.114 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

OR รณรงค์การบริจาคขวดพลาสติกใช้แล้วโดยมีการประชาสัมพันธ์ภายในกลุ่ม รวมถึงประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อนอก และโครงการฯ ได้รับผลตอบรับที่ดีและความร่วมมือจากองค์กรต่าง ๆ เช่น THAI OBAYASHI และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

โครงการ แยก แลก ยิ้ม School Camp

หลักการและเหตุผล

          ด้วยปัจจุบันนี้ทั่วโลกได้ให้ความสำคัญกับเรื่อง ภาวะโลกรวน (Climate Change) รวมทั้งประเทศไทยที่หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมีนโยบายดำเนินงานมิใช่ในมิติเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังควบคู่ไปกับการดูแล สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ นอกจากแสวงหาการเติบโตด้านการดำเนินธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกแล้ว โออาร์ยังมีวิสัยทัศน์และพันธกิจในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน ตามเป้าหมายองค์กร OR 2030 Goals


วัตถุประสงค์ของโครงการ

                  2.1 เพื่อปลูกฝังพฤติกรรมและสร้างความตระหนักรู้ด้านการจัดการขยะที่เหมาะสมแก่เยาวชน ซึ่งจะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่สำคัญในการต่อยอดในระดับชุมชน สังคม และประเทศ

                  2.2 เพื่อสนับสนุนการพัฒนากิจกรรมและจัดเก็บขยะอย่างเป็นระบบ โดยใช้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้เป็นส่วนหนึ่งในการวัดประสิทธิภาพ

                  2.3 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับโรงเรียนและชุมชน ในการสร้างนวัตกรรมทางสังคมเพื่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

 

          จากการดำเนินโครงการในปี 2565 OR ได้คัดเลือกโรงเรียน รุ่นที่ 1 พร้อมกับพัฒนาครู และนักเรียนของโรงเรียน โดยมีโรงเรียนรุ่นที่ 1 ที่เข้าร่วมกิจกรรมกับโครงการจนถึงปัจจุบัน จำนวน 12 โรงเรียน จาก 9 จังหวัดทั่วประเทศ และในปีนี้ OR โดยได้เปิดรับสมัครครูเข้าแข่งขัน รุ่นที่ 2 ซึ่งมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนกว่า 1,000 โรงเรียน จากทั่วประเทศ โดยมีโรงเรียนที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกจากคณะกรรมการ จำนวน 33 โรงเรียน ใน 4 ภูมิภาค ประกอบด้วย ภาคกลาง 10 โรงเรียน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 11 โรงเรียน ภาคใต้ 6 โรงเรียน และ ภาคเหนือ 6 โรงเรียน รวมครูรุ่นที่ 1 และ รุ่น 2 จำนวนทั้งหมด 90 คน

 

ทั้งนี้ โรงเรียนรุ่นที่ 1 ที่ผ่านการคัดเลือกโดยมีนโยบายการลดขยะ และกิจกรรมฐานการเรียนรู้ที่ถูกใจกรรมการที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่:

  1. รางวัลชนะเลิศ โรงเรียนชุมชนบ้านฟ่อนวิทยา จ.ลำปาง
  2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 โรงเรียนบ้านบางละมุง จ.ชลบุรี
  3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 โรงเรียนชุมชนบ้านกุดเป่ง จ.อุบลราชธานี

และโรงเรียนรุ่นที่ 2 ที่มีกระบวนการบริหารจัดการขยะโดดเด่น โดยมีเกณฑ์การวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงจากกิจกรรมอย่างชัดเจน พร้อมสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์ใช้งานได้จริง 3 อันดับแรก ได้แก่:

  1. รางวัลชนะเลิศ โรงเรียนบ้านนาสองเหมือง จ.มุกดาหาร
  2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 โรงเรียนบ้านห้วยนกกก จ.ตาก
  3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 โรงเรียนบ้านดงซ่อม จ.กำแพงเพชร

          สำหรับรางวัลชนะเลิศ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จากทั้ง 2 รุ่น จะได้รับโล่ ประกาศเกียรติคุณ พร้อมเงินรางวัลจำนวน 50,000 บาท 30,000 บาท และ 20,000 บาท ตามลำดับ นอกจากนี้ ทั้ง 45 โรงเรียนยังได้รับทุนสนับสนุนโครงการโรงเรียนละ 10,000 บาท สำหรับใช้วางแผน และจัดทำแนวทางการบริหารจัดการขยะในโรงเรียน อีกทั้งยังได้เข้าร่วมเรียนรู้กับผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ชำนาญการจากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนได้รับโอกาสให้ส่งผลงานเข้าร่วมโครงการ Low Emission Support Scheme หรือ LESS Award ในปี 2567 เพื่อรับใบประกาศเกียรติคุณ ในการมีส่วนช่วยลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจก ผ่านการประเมินจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) อีกด้วย