ใครเป็นคนกำหนดราคาน้ำมันในประเทศไทย?
ประเทศไทยมีนโยบายสนับสนุนการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรมในธุรกิจพลังงาน ระบบการค้าน้ำมันในประเทศไทยเป็นระบบการค้าเสรี บริษัทน้ำมันสามารถกำหนดราคาขายปลีกได้ด้วยตนเอง โดยอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยมีหน่วยงานของรัฐที่กำกับดูแลทางด้านราคาน้ำมัน คือ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน อย่างไรก็ดีภาครัฐมีส่วนในการกำกับดูแลราคาน้ำมัน โดยอาศัยกลไกด้านภาษีและกองทุนน้ำมัน เพื่อรักษาเสถียรภาพของระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศไม่ให้ผันผวนมากเกินไป
ราคาน้ำมันในประเทศไทยมีส่วนประกอบอะไรบ้าง?
ในราคาน้ำมันขายปลีกที่ผู้บริโภคจ่ายในน้ำมันแต่ละลิตรนั้นอาจแบ่งคร่าว ๆ ออกได้เป็น 3 ส่วนหลัก ๆ คือ ต้นทุนเนื้อน้ำมัน ภาษีและกองทุน และค่าการตลาด ซึ่งสัดส่วนของแต่ละกลุ่มอาจปรับเปลี่ยนได้ตามการปรับตัวของราคาน้ำมันสำเร็จรูปตามตลาดโลก นโยบายการเก็บภาษีและการเก็บเงินเข้ากองทุน รวมทั้งการปรับราคาขายปลีกของผู้ค้าน้ำมัน แต่โดยหลักแล้วจะมีสัดส่วนคร่าว ๆ ตามรายละเอียดดังนี้

1. ต้นทุนเนื้อน้ำมัน (70%)
ต้นทุนเนื้อน้ำมันคือส่วนของราคาน้ำมันที่มาจากต้นทุนการผลิตและการแปรรูปน้ำมันดิบให้เป็นน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงกลั่น ซึ่งประกอบด้วย:
- ราคาน้ำมันดิบ (Crude Oil Price): ราคาผันผวนไปตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทย เป็นส่วนที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก สถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ และอัตราแลกเปลี่ยน
- ค่าการกลั่น (Refining Margin): ค่าใช้จ่ายในการแปรรูปน้ำมันดิบให้เป็นน้ำมันสำเร็จรูป เช่น เบนซินหรือดีเซล ที่สามารถนำมาใช้งานได้ ค่าใช้จ่ายนี้รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของโรงกลั่นน้ำมัน
2. ภาษีและกองทุน (23%)
รัฐบาลมีนโยบายในการเก็บภาษีและเงินส่งเข้ากองทุนต่าง ๆ จากราคาน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็น ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล ภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนอนุรักษ์พลังงาน โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บที่แตกต่างกัน ประกอบด้วย:
- ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax): ภาษีที่จัดเก็บโดยกระทรวงการคลัง เพื่อนำมาใช้พัฒนาประเทศ
- ภาษีเทศบาล (Municipal Tax): ภาษีที่จัดเก็บโดยกระทรวงการคลัง ในอัตราร้อยละ 10 ของภาษีสรรพสามิต เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระดับท้องถิ่น
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ภาษีที่จัดเก็บ 7% ของราคาขายส่งน้ำมันเชื้อเพลิง และจัดเก็บอีก 7% ของค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
- เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (Fuel Fund): เงินที่เรียกเก็บตามประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันภายในประเทศไม่ให้เกิดความผันผวน
- เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงาน (Energy Conservation Fund): เงินที่เรียกเก็บตามประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์พลังงานและการพัฒนาแหล่งพลังงานทดแทน
3. ค่าการตลาด (7%)
ค่าการตลาด คือ ผลตอบแทนที่ผู้ค้า ม.7 ได้รับ ซึ่งยังไม่ใช่กำไรสุทธิ เพราะยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้งของบริษัทผู้ค้าและเจ้าของสถานีบริการน้ำมัน เช่น ค่าที่ดิน ค่าขนส่ง ค่าจ้างพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค ค่าบริหารจัดการต่าง ๆ ภายในสถานี ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายและการตลาด และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ซึ่งหลังจากหักค่าใช้จ่ายเหล่านี้แล้ว ถึงจะเป็นกำไรสุทธิของผู้ค้าที่จะได้รับ เมื่อรวมส่วนประกอบทั้งสามกลุ่มนี้เข้าด้วยกัน จะได้เป็นราคาขายปลีกน้ำมันที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเมื่อซื้อน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมันในประเทศไทย

กองทุนน้ำมันมีหน้าที่อะไรในโครงสร้างราคาน้ำมัน?
ในโครงสร้างราคาน้ำมันของประเทศไทย มีกองทุนสำคัญ 2 ประเภทที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาและการจัดการเสถียรภาพของราคาน้ำมัน ได้แก่
1) กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2) กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน มีบทบาทในการสนับสนุนโครงการและมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทน เช่น การสนับสนุนการพัฒนาพลังงานทดแทน การส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านพลังงาน เช่น โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ซึ่งให้เงินสนับสนุนแก่ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานประสิทธิภาพสูง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลง เป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการราคาน้ำมันในประเทศไทย มีบทบาทคล้าย “เบาะรองรับแรงกระแทก” เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจ โดยใช้เงินจากกองทุนในการอุดหนุนราคาน้ำมันในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น หรือการเก็บเงินเข้ากองทุนเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง เช่น เมื่อราคาน้ำมันตลาดโลกสูงขึ้น กองทุนจะนำเงินมาช่วยอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก ช่วยลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนส่งและประชาชนทั่วไป ซึ่งเราสังเกตได้จากการปรับราคาน้ำมันในประเทศที่บางครั้งน้ำมันเบนซินปรับราคาขึ้น แต่ราคาน้ำมันเบนซินยังคงอยู่เท่าเดิม เป็นผลมาจากการที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนำเงินมาพยุงราคาไว้
สถานการณ์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลง
สถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไทยในปัจจุบัน มีตัวเลขติดลบกว่า 1.1 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนกรกฏาคม 2567 (อ้างอิง สกนช.) สะท้อนถึงปริมาณเงินที่กองทุนต้องใช้สำหรับการอุดหนุนราคาน้ำมันในประเทศ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบโลก
สาเหตุหลักที่กองทุนติดลบมาจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2564 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2565 เมื่อสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากหลายปัจจัย เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังการระบาดของโควิด-19 ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้กองทุนต้องนำเงินจำนวนมหาศาลไปอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการขนส่งและภาคอุตสาหกรรม
เช่น ในช่วง มิถุนายน 2565 ราคาน้ำมันดีเซลในตลาดเอเชียสูงถึง 160 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้กองทุนต้องนำเงินไปอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลสูงถึง 10.25 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกปรับตัวสูงขึ้นจนเกินไป และอาจกระทบต่อต้นทุนการขนส่งและราคาสินค้า ส่งผลให้กองทุนมีค่าใช้จ่ายในการประคองราคาน้ำมันดีเซลสูงถึง 110,000 ล้านบาท (ข้อมูลปี 2565 สกนช.) นอกจากนี้ สถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลกยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนการนำเข้าน้ำมันดิบของไทยสูงขึ้นไปอีก ส่งผลให้ภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ค่าการตลาดคือกำไรของบริษัทน้ำมันรึเปล่า?
ในโครงสร้างราคาน้ำมัน มีส่วนหนึ่งที่เรียกว่าค่าการตลาด แต่ค่าการตลาดในที่นี้ไม่ได้หมายถึงกำไรสุทธิของบริษัทน้ำมัน เนื่องจากยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น :
- ค่าขนส่ง: ค่าใช้จ่ายในการขนส่งน้ำมันดิบจากแหล่งผลิตไปยังโรงกลั่น และค่าขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปไปยังสถานีบริการ
- ค่าดำเนินการของบริษัทน้ำมัน: ค่าปฏิบัติการคลัง ค่าสารเติมแต่ง ค่าใช้จ่ายทางการเงินจากการสำรองน้ำมันตามกฎหมาย ค่าใช้จ่ายในการบริหารและการตลาด
- ค่าดำเนินการที่สถานีบริการ: ค่าใช้จ่ายในการสร้างและดูแลสถานีบริการ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้างพนักงาน ฯลฯ
ส่วนที่เหลือจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่กล่าวมาจึงจะเป็นกำไรสุทธิของผู้ค้า ม.7 ซึ่งต้องแบ่งกับผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันอีกด้วย ดังนั้น ค่าการตลาดจึงยังไม่ใช่กำไรสุทธิองบริษัทน้ำมัน
ทำไมราคาน้ำมันไทยแพง?
ราคาน้ำมันในประเทศไทยผันผวนตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ขึ้นอยู่กับอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) แต่ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันในประเทศไทยมากที่สุดคือ ต้นทุนเนื้อน้ำมันที่มาจากการนำเข้าน้ำมันดิบ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงประมาณ 70% ของราคาน้ำมันในไทย ดังนั้นสาเหตุที่ราคาน้ำมันไทยแพงจึงมาจากปัจจัยเหล่านี้:
1. การต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบ
แม้ประเทศไทยจะมีแหล่งขุดน้ำมันดิบเอง แต่ปริมาณที่ขุดได้รองรับปริมาณที่ต้องใช้ต่อวันได้ไม่ถึง 10% ไทยจึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่า 90% (ข้อมูลปี 2566 อ้างอิง สนพ.) เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้งานทั้งประเทศ เมื่อประเทศไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบเป็นหลัก การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาน้ำมันในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการขนส่งและประกันภัยด้วย
2. ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีการผันผวนตามความต้องการและอุปทานในตลาด ซึ่งได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น สถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ สงคราม การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ รวมถึงเหตุการณ์ธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมัน เมื่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงขึ้น ราคาน้ำมันที่นำเข้าในประเทศไทยก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
3. ค่าขนส่งและประกันภัย
การนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศต้องเสียค่าขนส่ง ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการขนส่งทางเรือและค่าประกันภัย ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งในทะเล ค่าขนส่งและประกันภัยนี้เพิ่มต้นทุนในการนำเข้าน้ำมันดิบที่ไทยต้องนำเข้า ส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทยสูงขึ้นไปด้วย

ทำไมประเทศไทยขุดน้ำมันดิบได้เอง แต่ราคาน้ำมันยังแพง?
แม้ประเทศไทยจะมีแหล่งขุดน้ำมันดิบเอง แต่ปริมาณที่ขุดได้รองรับปริมาณที่ต้องใช้ต่อวันได้ไม่ถึง 10% โดยผลิตได้เพียงประมาณ 70,000 บาร์เรลต่อวันในขณะที่ปริมาณการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1,032,000 บาร์เรลต่อวัน (ข้อมูลปี 2566 อ้างอิง สนพ.) ไทยจึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่า 90% เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้งานทั้งประเทศ ดังนั้นราคาน้ำมันไทยจึงผันผวนตามราคาน้ำมันตลาดโลก เมื่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงขึ้น ราคาน้ำมันที่นำเข้าในประเทศไทยจึงสูงขึ้นตามไปด้วย
ปัจจุบันไทยขุดน้ำมันดิบจาก 7 แหล่งน้ำมันดังนี้
- แหล่งขุดเจาะน้ำมันสิริกิติ์ 25,000 บาร์เรลต่อวัน
- แหล่งขุดเจาะน้ำมันจัสมิน 9,000 บาร์เรลต่อวัน
- แหล่งขุดเจาะน้ำมันหนองยาว 8,000 บาร์เรลต่อวัน
- แหล่งขุดเจาะน้ำมันเอราวัณ 6,600 บาร์เรลต่อวัน
- แหล่งขุดเจาะน้ำมันทานตะวัน 6,000 บาร์เรลต่อวัน
- แหล่งขุดเจาะน้ำมันมโนราห์ 4,800 บาร์เรลต่อวัน
- แหล่งขุดเจาะน้ำมันบัวหลวง 4,600 บาร์เรลต่อวัน
แหล่งขุดเจาะอื่น ๆ 5,000 บาร์เรลต่อวัน (ข้อมูลปี 2566 อ้างอิง สนพ.)
ทำไมประเทศไทยต้องใช้ราคาน้ำมันจากตลาดสิงคโปร์?
ราคาตลาดสิงคโปร์ที่มักพูดถึงกัน ไม่ได้หมายถึงราคาน้ำมันในประเทศสิงค์โปร์ หรือราคาน้ำมันที่ประเทศสิงคโปร์ประกาศเอง แต่หมายถึงราคาที่มาจากตลาดกลางในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย เรือบรรทุกน้ำมันจากทุกประเทศในภูมิภาคนี้ จะมาบรรจบกันที่สิงคโปร์เพื่อทำการแลกเปลี่ยนและซื้อขายน้ำมันประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดิบ หรือน้ำมันสำเร็จรูป (เบนซินและดีเซล) ซึ่งประเทศไทยใช้การอ้างอิงราคาจากตลาดสิงคโปร์นี้ใน 2 บริบทดังนี้
1. การนำเข้าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจากตลาดสิงคโปร์
เนื่องจากประเทศไทยผลิตน้ำมันเองได้ไม่ถึง 10% ของปริมาณการใช้งานต่อวัน ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานภายในประเทศ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันดิบ รวมถึงในบางช่วงมีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป (เบนซินและดีเซล) จากต่างประเทศ สาเหตุที่ประเทศไทยอ้างอิงราคาน้ำมันจากตลาดสิงคโปร์ในการนำเข้าน้ำมัน มี 3 ประเด็นดังนี้:
- ความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์: สิงคโปร์ตั้งอยู่ในทำเลที่ใกล้กับประเทศไทยมากที่สุด การขนส่งน้ำมันจากสิงคโปร์มาประเทศไทยจึงมีความสะดวก รวดเร็ว และต้นทุนถูกกว่าการนำเข้าน้ำมันจากภูมิภาคอื่นที่อยู่ไกลกว่า เช่น ตะวันออกกลางหรืออเมริกา จึงเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งและระยะเวลาในการขนส่ง
- ราคากลางที่เชื่อถือได้: เนื่องจากตลาดสิงคโปร์เป็นตลาดน้ำมันที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมาก มีการซื้อขายน้ำมันในปริมาณมากทุกวัน ทำให้ราคาน้ำมันที่ประกาศในตลาดนี้มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทำให้ประเทศไทยสามารถใช้ราคานี้เป็นตัวอ้างอิงได้อย่างปลอดภัย เช่นเดียวกับการซื้อเนื้อหมู หรือข้าวสารที่ผู้บริโภคต้องการซื้อด้วยราคาที่ขายกันในตลาดจริง ๆ ไม่ใช่ราคาที่ถูกกำหนดเองจากผู้ค้ารายใดรายหนึ่ง
- ราคาสอดคล้องกับตลาดโลก: ราคาน้ำมันจากตลาดสิงคโปร์มีความเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับราคาน้ำมันในตลาดโลก เป็นอีกหนึ่งเครื่องยืนยันว่าเป็นราคาที่ไม่ถูกแทรกแซงจากการปั่นราคา ทำให้ประเทศไทยมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกเอาเปรียบจากผู้ค้ารายใด

2. การตั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นโดยอ้างอิงราคาในตลาดสิงคโปร์
ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่ทั้งนำเข้าและส่งออกน้ำมันในเวลาเดียวกัน ดังนั้นนอกจากการนำเข้าน้ำมันที่ประเทศไทยอ้างอิงราคาตลาดสิงคโปร์แล้ว ประเทศไทยยังใช้สำหรับการตั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูป (น้ำมันเบนซินและดีเซล) หน้าโรงกลั่นที่ผู้ค้าน้ำมันต่าง ๆ ซื้อน้ำมันจากประเทศไทยไปใช้ด้วย สาเหตุที่ประเทศไทยเลือกอ้างอิงราคาน้ำมันจากตลาดสิงคโปร์ในการตั้งราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น มี 3 ประเด็นดังนี้:
- ความน่าเชื่อถือในการค้า: เช่นเดียวกับการที่ประเทศไทยนำเข้าน้ำมันโดยต้องการซื้อในราคากลางที่เป็นธรรม คู่ค้าที่ต้องการซื้อน้ำมันจากประเทศไทยก็ต้องการราคาที่เป็นธรรมเช่นกัน การตั้งราคาที่ไม่สอดคล้องกับราคาในตลาดกลางและตลาดโลกจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์ของประเทศไทยในการค้าระหว่างประเทศ
- การกำหนดราคาที่ไม่เป็นธรรม: หากโรงกลั่นกำหนดราคาตามความต้องการ อาจทำให้เกิดการบิดเบือนราคาน้ำมัน ผู้บริโภคหรือผู้ค้าอาจต้องจ่ายในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริงหรือไม่สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง
- ความไม่เสถียรของราคา: การตั้งราคาที่ไม่อิงจากตลาดสิงคโปร์อาจทำให้ราคาน้ำมันในประเทศมีความผันผวนมากขึ้น เนื่องจากขาดเสถียรภาพที่มาจากการอ้างอิงราคาตลาดสากล
ทำไมประเทศไทยไม่ตั้งราคาน้ำมันให้ถูกกว่าตลาดสิงคโปร์
ราคาน้ำมันสำเร็จรูป (น้ำมันเบนซินและดีเซล) หน้าโรงกลั่นในประเทศไทยได้รับการกำกับดูแลโดยกระทรวงพลังงานเพื่อให้แน่ใจว่าราคานั้นมีความเป็นธรรมและสอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง ทั้งนี้ หากมีนโยบายที่ออกมาควบคุมให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นถูกกว่าราคาตลาดสิงคโปร์ อาจส่งผลกระทบดังนี้
- น้ำมันในประเทศจะถูกส่งออกมากขึ้น: น้ำมันสำเร็จรูปที่ในความจริงแล้วควรจะใช้สำหรับในประเทศ อาจถูกส่งออกไปขายในตลาดโลกมากขึ้น เนื่องจากผู้ค้าน้ำมันสามารถซื้อน้ำมันสำเร็จรูปจากประเทศไทยได้ในราคาถูก และนำไปขายในตลาดอื่นที่มีราคาแพงกว่าได้ ส่งผลให้ประเทศไทยมีน้ำมันสำเร็จรูปไม่เพียงพอ ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศแพงขึ้น
- ผู้ค้าน้ำมันและโรงกลั่นปิดตัว: ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ถูกกว่าตลาดสากลอาจทำให้การลงทุนในธุรกิจน้ำมันและพลังงานในประเทศไทยลดลง เนื่องจากไม่คุ้มค่าการลงทุน ซึ่งอาจนำไปสู่การถอนตัวจากตลาด ส่งผลให้จำนวนผู้ค้าน้ำมันในตลาดลดลง เสี่ยงนำไปสู่การผูกขาดทางตลาดมากขึ้น
- กระทบความน่าเชื่อถือในการค้าระหว่างประเทศ: การตั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูปให้ต่ำกว่าในตลาดสากลอาจสร้างความไม่พอใจในหมู่ผู้ค้าน้ำมันในภูมิภาค ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ
ดังนั้น โดยรวมแล้ว การตั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูปให้ถูกกว่าตลาดสิงคโปร์ ไม่ได้มีผลช่วยให้ราคาน้ำมันในประเทศไทยลดลง โดยนอกจากจะทำให้ประเทศไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากตลาดกลางมากขึ้น ซึ่งก็จะเป็นราคาจากตลาดสิงคโปร์เช่นกัน ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อความมั่นคงของพลังงานภายในประเทศไทยจากการที่โรงกลั่นในประเทศต้องปิดตัวลงด้วย
ประเทศไทยมีตัวเลือกอื่นในการนำเข้าน้ำมันนอกจากตลาดสิงคโปร์อีกหรือไม่?
ปัจจุบัน ศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันของโลกกระจายอยู่ใน 3 ภูมิภาค ดังนี้
- ทวีปอเมริกา นิวยอร์ก ตลาด New York Mercantile Exchange (NYMEX)
- ทวีปยุโรป ลอนดอน ตลาด Intercontinental Exchange (ICE)
- ทวีปเอเชีย สิงคโปร์ Singapore International Monetary Exchange (SIMEX)
ทั้งนี้ สำหรับประเทศไทยซึ่งอยู่ในภูมิภาคเอเชีย การนำเข้าน้ำมันจากตลาดอื่น เช่น ตลาดนิวยอร์ก หรือลอนดอน จะทำให้ประเทศไทยมีต้นทุนการนำเข้าน้ำมันที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับตลาดสิงคโปร์ เนื่องจากมีระยะทางที่ไกลกว่ามากในทางภูมิศาสตร์ โดยนอกจากประโยชน์ด้านต้นทุนในการนำเข้าแล้ว ตลาดสิงคโปร์ยังมีข้อดีที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอื่น ๆ ดังนี้
- ราคากลางที่เชื่อถือได้: เนื่องจากตลาดสิงคโปร์เป็นตลาดน้ำมันที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมาก มีการซื้อขายน้ำมันในปริมาณมากทุกวัน ทำให้ราคาน้ำมันที่ประกาศในตลาดนี้มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทำให้ประเทศไทยสามารถใช้ราคานี้เป็นตัวอ้างอิงได้อย่างปลอดภัย เช่นเดียวกับการซื้อเนื้อหมู หรือข้าวสารที่ผู้บริโภคต้องการซื้อด้วยราคาที่ขายกันในตลาดจริง ๆ ไม่ใช่ราคาที่ถูกกำหนดเองจากผู้ค้ารายใดรายหนึ่ง
- ราคาสอดคล้องกับตลาดโลก: ราคาน้ำมันจากตลาดสิงคโปร์มีความเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับราคาน้ำมันในตลาดโลก เป็นอีกหนึ่งเครื่องยืนยันว่าเป็นราคาที่ไม่ถูกแทรกแซงจากการปั่นราคา ทำให้ประเทศไทยมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกเอาเปรียบจากผู้ค้ารายใด
- โครงสร้างพื้นฐานที่ดีและทันสมัย: สิงคโปร์มีท่าเรือและคลังเก็บน้ำมันที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย รองรับการนำเข้าและส่งออกน้ำมันในปริมาณมากได้ และมีระบบการขนส่งที่ดี ซึ่งช่วยให้การขนส่งน้ำมันเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
- กฎระเบียบและการควบคุมที่ดี: สิงคโปร์มีระบบกฎหมายและกฎระเบียบที่ชัดเจนและโปร่งใส ทำให้การดำเนินการทางธุรกิจในตลาดน้ำมันเป็นไปอย่างยุติธรรม นอกจากนี้รัฐบาลสิงคโปร์สนับสนุนและส่งเสริมการค้าและการลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมัน ทำให้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจมีความมั่นคง
ทำไมประเทศไทยถึงส่งออกน้ำมันได้ ถ้าผลิตเองไม่พอจนต้องนำเข้าน้ำมัน?
น้ำมันที่มักพูดถึงกันมี 2 ประเภท ได้แก่ (1) น้ำมันดิบ ซึ่งยังไม่ใช่น้ำมันที่ผู้บริโภคนำมาเติมใช้ในรถยนต์ ต้องนำมากลั่นก่อน และ (2) น้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งคือน้ำมันดิบที่กลั่นแล้ว ออกมาเป็นดีเซลและเบนซินที่ใช้เติมในรถยนต์
สิ่งที่ประเทศไทยนำเข้าเป็นหลักคือ น้ำมันดิบ เนื่องจากประเทศไทยผลิตน้ำมันดิบเอง ประมาณ 70,000 บาร์เรลต่อวัน จากปริมาณที่ต้องการใช้ประมาณ 1,032,000 บาร์เรลต่อวัน (ข้อมูลปี 2566 อ้างอิง สนพ.) ซึ่งไม่ถึง 10% ของปริมาณที่ต้องใช้ จึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบ นอกจากนี้ ประเทศไทยก็มีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป (เบนซินและดีเซล) ด้วยบางส่วนเนื่องจากบางช่วงเวลาปริมาณการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปไม่เพียงกับปริมาณที่ต้องใช้
สำหรับการส่งออก ประเทศไทยส่งออกทั้งน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูป โดยน้ำมันดิบที่ประเทศไทยส่งออกคือ น้ำมันดิบบางส่วนที่ขุดมาแล้วมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมกับโรงกลั่นในประเทศไทย และน้ำมันสำเร็จรูปที่กลั่นมาแล้วเกินจากปริมาณที่ต้องใช้ภายในประเทศ ไทยจึงเป็นทั้งผู้นำเข้าและส่งออกในเวลาเดียวกัน
สาเหตุที่มีการกลั่นน้ำมันสำเร็จรูปเกินจากปริมาณที่ต้องใช้ เนื่องจากการกลั่นน้ำมันจะได้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมออกมาหลายชนิด เช่น เบนซิน ดีเซล น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเตา และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ แต่ประเทศไทยใช้น้ำมันดีเซลเป็นหลัก โดยปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลในประเทศอยู่ที่ประมาณ 69 ล้านลิตรต่อวัน ในขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินอยู่ที่ประมาณ 31 ล้านลิตรต่อวัน (ข้อมูลปี 2566 อ้างอิง สนพ.) ในการกลั่นน้ำมันแต่ละครั้งจะไม่สามารถควบคุมให้ได้ปริมาณสัดส่วนน้ำมันเบนซิน-ดีเซล ตรงกับปริมาณที่เราต้องการใช้ได้ จึงเกิดการผลิตที่เป็นส่วนเกินขึ้นมา จึงมีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปส่วนที่เกิน

ถ้าประเทศไทยผลิตน้ำมันได้เกินจนส่งออกได้ ทำไมไม่เก็บไว้ใช้ภายในประเทศ?
การกักตุนน้ำมันไม่ได้ช่วยทำให้ราคาน้ำมันถูกลง เนื่องจากต้องมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงในการกักเก็บ การดูแลคุณภาพของน้ำมันให้ได้มาตรฐานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต้นทุนเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้น การส่งออกน้ำมันที่ผลิตออกมาเกินจึงได้ประโยชน์กับประเทศมากกว่า
ทำไมราคาน้ำมันในไทยไม่เหมือนประเทศอื่น?
ในด้านโครงสร้างของราคาน้ำมันแล้ว แต่ละประเทศจะมีองค์ประกอบของโครงสร้างราคาที่คล้ายกันคือ (1) ต้นทุนเนื้อน้ำมัน (2) ภาษีและกองทุน (3) ค่าการตลาด แต่สัดส่วนของแต่ละองค์ประกอบในแต่ละประเทศจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับต้นทุนการผลิตและการนำเข้า โครงสร้างภาษีและกองทุน และรัฐบาลนโยบาย ประเทศมาเลเซียที่จัดว่าเป็นประเทศที่มีปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบมากกว่าการนำเข้า หมายความว่ามาเลเซียสามารถผลิตน้ำมันดิบได้เกินจากความต้องการใช้ภายในประเทศ ซึ่งนอกจากจะให้มาเลเซียมีต้นทุนของเนื้อน้ำมันที่ต่ำแล้ว รัฐบาลยังมีนโนบายการสนับสนุนราคาน้ำมันอีกด้วย ช่วยให้ราคาน้ำมันในประเทศมาเลเซียถูกกว่าไทย ทั้งนี้ ปัจจุบัน ประเทศมาเลเซียได้ประกาศยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลแล้วส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลในมาเลเซียปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 9 บาท/ลิตร แต่สาเหตุที่ราคายังคงถูกกว่าประเทศไทย เพราะโครงสร้างราคา ภาษี และกองทุน แตกต่างกัน
ประเทศ | ต้นทุนเนื้อน้ำมัน | ภาษีและกองทุน | ค่าการตลาด |
|---|---|---|---|
ไทย | 70% | 23% | 7% |
พม่า | 51% | 6% | 43% |
ลาว | 94% | 5% | 1% |
กัมพูชา | 54% | 23% | 23% |

โออาร์ (OR) สามารถนำกำไรของบริษัทมาช่วยราคาลดราคาน้ำมันได้หรือไม่?
ราคาน้ำมันในประเทศไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล โดยมีกระทรวงพลังงาน และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน เป็นหน่วยงานที่วางนโยบายเกี่ยวกับพลังงานในประเทศไทย รวมถึงการกำหนดนโยบายที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันในประเทศ ซึ่งบริษัทน้ำมันทุกรายรวมถึง OR ในฐานะผู้ค้ามาตรา 7 ที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงพลังงานในการนำเข้าและจำหน่ายน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทยจะต้องปฏิบัติตามนโยบายด้านราคาที่รัฐบาลกำหนด ดังนั้น OR จึงไม่ใช่ผู้ที่กำหนดนโยบายด้านราคาน้ำมันต่าง ๆ ในประเทศไทยได้
ทั้งนี้ การอุดหนุนหรือประคองราคาน้ำมันในประเทศไทยอยู่ในความรับผิดของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน ซึ่งสถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไทยในปัจจุบัน (กรกฎาคม 2567) มีตัวเลขติดลบกว่า 1.1 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2567 (อ้างอิง สกนช.) สะท้อนถึงปริมาณเงินที่ต้องใช้สำหรับการอุดหนุนราคาน้ำมันในประเทศ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันโลก


